top of page

อนาคตเมืองไทยกับเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า ⚡️


เทรนด์รักษ์สิ่งแวดล้อม ตลอดจนปัญหาภาวะโลกรวน หรือ Climate Change ที่ผู้คนทั่วโลกกำลังตื่นตัวนั้น ทำให้รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถ EV (Electric Vehicle) ซึ่งเป็นนวัตกรรมยานยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% ในการขับเคลื่อนได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะนอกจากประหยัดน้ำมันแล้ว ยังช่วยลดการเกิดมลพิษทางอากาศ ทั้งยังสอดคล้องกับการสนับสนุนให้ประเทศไทยมุ่งสู่พลังงานสะอาดตามนโยบายของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ.


นับวันรถ EV ยิ่งพัฒนาต่อยอดความทันสมัย และความสะดวกสบายในราคาสบายกระเป๋า เหมาะสำหรับยุคที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอตัว บวกกับราคาเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีความต้องการซื้อเพิ่มมากขึ้น ค่ายผลิตรถยนต์ต่างตอบรับความต้องการด้วยการเร่งมือในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี ส่วนภาครัฐบาลก็มีความพยายามผลักดันให้กลายเป็นรถกระแสหลัก ที่จะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นไปพร้อมๆ กับมาตรการลดมลพิษทางอากาศ


แนวโน้มเทรนด์รถ EV จากผู้ผลิตประเทศต่างๆ หากดูตัวเลขรวมทั่วโลกของ Goldman Sachs จะพบว่าในปี 2020 อัตราส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็น 3% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมด ส่วนในปี 2030 จะเพิ่มขึ้นกว่า 30% (หรือถึง 39%) และเมื่อถึงปี 2040 จะเพิ่มไปอีกเป็น 51-91% สรุปง่ายๆ ว่าในอีก 20 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มสูงมากที่รถยนต์ไฟฟ้าจะครองส่วนแบ่งการตลาดเกินครึ่ง และในจำนวนนี้รถยนต์ไฟฟ้าแบบที่ใช้แบตเตอรี่ (BEV) จะมีอัตราเติบโตมากที่สุด


โดยในปี 2020 ยุโรปทำสถิติซื้อขายรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV มากที่สุดในโลก อยู่ที่ประมาณ 1.4 ล้านคัน ตามด้วยจีนที่ 1.2 ล้านคัน ทั้งนี้ส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดรถยุโรปโดยรวมเมื่อปี 2020 มีถึง 10% แต่หากดูเป็นรายประเทศจะเห็นได้ว่า ประเทศที่รัฐบาลสนับสนุนอย่างจริงจัง เช่น นอร์เวย์ มีสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดถึง 75%


อย่างไรก็ตามหากนับรวมทั้งรถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV และ Plug-in Hybrid (รถยนต์ไฮบริดแบบเสียบชาร์จไฟได้) จะพบว่า จีนยังคงทำยอดสูงที่สุดในโลก ด้วยตัวเลขขาย 3.2 ล้านคันเมื่อปี 2021 คิดเป็น 15% ของตลาดรถยนต์ทั่วประเทศ ขณะที่ยุโรปขายได้ 2.3 ล้านคัน คิดเป็น 19% ส่วนสหรัฐอเมริกาขายได้ 535,000 คัน หรือคิดเป็น 4% ของตลาดรถยนต์ทั่วประเทศ


กระแสรักษ์โลก ส่งผลให้ผู้ใช้รถยนต์เริ่มให้ความสนใจรถยนต์ไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ทำให้รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถ EV มีความโดดเด่นยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันผู้คนก็เริ่มใส่ใจปัญหามลพิษ และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลทั่วโลกที่ส่งเสริมให้คำนึงถึงการจำกัด และลดปริมาณการปล่อยสารพิษที่ส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน


ประเด็นดังกล่าวถือเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกให้เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยประเมินว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจะมีสัดส่วนประมาณ 30-40% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมดในปี 2030 เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับสัดส่วนเพียง 2.5% ในปี 2019 ปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกวางแผนใช้งบประมาณราว 5 แสนล้านดอลลาร์จนถึงปี 2573 สำหรับการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ และวางแผนที่จะใช้เงินประมาณ 3 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อรถยนต์ไฟฟ้าและลงทุนด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง


นักวิเคราะห์ชี้ชัดว่า แนวโน้มการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นมหาศาล ทั้งในไทยและทั่วโลก โดยเทรนด์ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทย แม้ปี 2021 จะทำยอดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกด้วยยอดจดทะเบียนรถยนต์ BEV ที่ 1,958 คัน คิดเป็นประมาณ 0.02% ของยอดขายรถยนต์โดยรวม แต่ก็ถือว่าเพิ่มขึ้นจากปี 2020 ถึง 51.7% และด้วยราคาน้ำมันที่พุ่งสูง นโยบายอุดหนุนจากรัฐบาล การเปิดตัวของผู้เล่นรายใหม่ๆ ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประมาณตัวเลขไว้ว่า ในปี 2022 ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าจะสูงถึงกว่า 10,000 คัน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 412% เลยทีเดียว


แรงสนับสนุนจากภาครัฐ ตั้งเป้าไทยเป็น EV Hub ในอนาคต

ข้อมูลจาก International Energy Agency ได้คาดการณ์ว่าในปี 2573 ทั่วโลกจะมีรถยนต์ไฟฟ้าวิ่งบนถนนมากถึง 145 ล้านคัน เช่นเดียวกับประเทศไทยที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ออกนโยบายว่าภายในปี 2578 จะเตรียมยกเลิกการขายรถยนต์น้ำมัน พร้อมสนับสนุนด้านต่างๆ เช่น ลดอัตราภาษีสรรพสามิต ยกเว้นหรือลดอัตราอากรนำเข้าสำหรับชิ้นส่วนผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลก


สำหรับประเทศไทย คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ตั้งเป้าให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้ารวมกว่า 1.05 ล้านคัน ภายในปี 2025 รวมทั้งผลิตยานยนต์ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Zero Emission) ให้ได้ 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมด หรือคิดเป็น 725,000 แสนคันภายในปี 2030 และในที่สุดเมื่อต้นปีก็ได้มีมาตรการ ของรัฐบาลเป็นครั้งแรกในการช่วยลดราคารถยนต์ไฟฟ้า เช่น มาตรการเงินอุดหนุนรถยนต์และรถกระบะคันละ 70,000-150,000 บาท ลดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์จาก 8% เหลือ 2% ลดอากรขาเข้าสำหรับรถที่ผลิตต่างประเทศและนำเข้าทั้งคัน (Completely Built Up หรือ CBU) สูงสุด 40%


โมเดลการบริการของภาคเอกชน เพื่อดึงดูดผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า

ในยุคที่ผู้คนตระหนักถึงความยั่งยืนของสภาวะแวดล้อมเป็นสำคัญ ปัจจุบันเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าบนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็กำลังเติบโต และเป็นที่สนใจของนักเดินทางรุ่นใหม่ เพราะการเดินทางท่องเที่ยวที่เปลี่ยนจากรถยนต์น้ำมันเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายต่อการเดินทางท่องเที่ยว เช่น ค่าน้ำมัน ถือเป็นจุดเด่นที่กระตุ้นเหล่านักเดินทางให้ตัดสินใจขับรถยนต์ไฟฟ้าท่องเที่ยว ทั้งประหยัดเงินในกระเป๋า และไม่สร้างมลพิษทางสิ่งแวดล้อม


ไลฟ์สไตล์ของนักเดินทางกลุ่มนี้ ถือเป็นโจทย์ที่ธุรกิจท่องเที่ยวต่างๆ สามารถนำไปต่อยอดกระแสรถยนต์ไฟฟ้าสู่การส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ด้วยการติดตั้งจุดบริการชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันบางโรงแรมได้เริ่มมีการนำร่องไปบ้างแล้ว เช่น The Motifs Eco Hotel จังหวัดจันทบุรี, Holiday Inn Resort Vana Nava Hua Hin ที่หัวหิน จังหวัดเพชรบุรี หรือแม้แต่การติดตั้งสถานีชาร์จตามสถานีบริการน้ำมัน จุดแวะพัก ห้างสรรพสินค้าหรือคอมมูนิตี้มอลล์ ซึ่งช่วยดึงดูดนักเดินทางเข้ามาภายในพื้นที่ทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยอื่นๆ ระหว่างรอการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ที่สามารถประยุกต์กับมิติด้านการท่องเที่ยวได้เช่นกัน


นอกจากนี้ ยังมีโมเดลในการบริการต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น ระบบการจองสถานีชาร์จล่วงหน้า หรือในฝั่ง PEA ที่ในแอปพลิเคชันสามารถบอกได้ว่าหัวจ่ายนั้นๆ ชาร์จไปแล้วกี่เปอร์เซ็นต์ ทำให้เราคำนวณการใช้งานได้ง่ายขึ้น ซึ่งเมื่อมีผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้นระบบต่างๆ ก็เปลี่ยนไปตามรูปแบบการใช้งาน บางที่ให้ชาร์จเพียง 30 นาทีเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดการจอดแช่ จอดทิ้งไว้ ซึ่งโมเดลแบบนี้จะทำให้การใช้สถานีชาร์จคล่องตัวมากขึ้น และในอนาคตจะได้เห็นสถานีชาร์จเร็ว (DC Fast Charge) ตามทางด่วน (Highway) มากขึ้น รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของสถานีชาร์จมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะยิ่งเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าพัฒนาให้รองรับกระแสไฟที่มากขึ้น คนใช้งานก็ต้องการชาร์จกับสถานีที่ชาร์จเร็วและไม่เสียเวลา


👉เปิด 5 ข้อดีของรถยนต์ EV ที่มีมากกว่าประหยัดค่าเชื้อเพลิง

จากการตอบรับกระแสรถยนต์ไฟฟ้าจากภาครัฐบาล ที่มีทั้งการปรับลดภาษี พร้อมทั้งให้เงินอุดหนุน เป็นสัญญาณว่ารถยนต์ชนิดนี้ต้องมีดีมากกว่าการประหยัดพลังงานเชื้อเพลิงอย่างแน่นอน วันนี้ชวนมาดู 5 ข้อดีที่ทำให้รถยนต์ประเภทนี้กำลังจะกลายเป็นกระแสนิยมหลักของประเทศไทย


✅ราคาถูก รถยนต์ EV สามารถครอบครองเป็นเจ้าของได้ในราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งมีสมรรถนะไม่แตกต่างไปจากรถยนต์สันดาปภายในทั่วไป นอกจากนี้ราคารถยนต์ไฟฟ้ายังมีบางรุ่นจากบางค่ายที่เริ่มต้นในราคาไม่ถึง 3 แสนบาท เหมาะสำหรับคนเมืองที่ใช้ชีวิตเดินทางไม่ไกล แต่ต้องอยู่ในรถเป็นเวลานาน เพราะความหนาแน่นบนท้องถนน


✅ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รถยนต์ EV คือรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแบบ 100% ดังนั้นจึงไม่มีการเผาไหม้ภายในเครื่องยนต์จนเกิดเป็นมลพิษทางอากาศ และหากในอนาคตมีการใช้รถยนต์ประเภทนี้ในตัวเมืองกันมากขึ้น จะช่วยลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ได้เป็นอย่างดี และด้วยรถยนต์ชนิดนี้ใช้มอเตอร์ในการขับเคลื่อน จึงไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงอีกด้วย


✅ดีไซน์สวยงาม การออกแบบรูปโฉมของรถยนต์ EV จากค่ายรถต่างๆ มีการวางคอนเซ็ปต์และนำแนวคิดอันหลากหลายมาใช้ และไม่ใช่รถเล็กๆ ตัวถังบางๆ อย่างที่หลายคนคิด แต่กลับมีดีไซน์ที่ทันสมัย สวยงาม มีการเลือกใช้วัสดุที่มีความทนทาน ประกอบกับการออกแบบห้องโดยสารที่ใส่ใจทุกรายละเอียด


✅นวัตกรรมทันสมัย รถยนต์ EV เป็นรถที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีอันทันสมัย เพื่อความสะดวกสบายในการขับขี่ ทั้งการใช้ระบบกรองอากาศภายในห้องโดยสารเพื่อป้องกันฝุ่น PM 2.5 การใช้เบาะไฟฟ้าที่สามารถปรับให้รับกับสรีระของผู้ขับขี่ได้ดี และการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์เพื่อให้รถสามารถวิ่งผ่านลมได้โดยปราศจากแรงต้าน


✅ใช้เทคโนโลยีสนับสนุนการขับขี่ นอกจากจะมีนวัตกรรมอันทันสมัย รถยนต์ EV ยังใช้เทคโนโลยีอันเป็นระบบอัจฉริยะเข้ามาช่วยในการขับขี่ เพื่อความปลอดภัย ทั้งการติดตั้งกล้องที่สามารถมองเห็นได้รอบตัวรถ ระบบแจ้งเตือนมีวัตถุกีดขวาง ระบบช่วยจำการปรับเบาะไฟฟ้าของผู้ขับและผู้นั่งข้างคนขับ ระบบแจ้งเตือนความเหนื่อยล้าเมื่อต้องขับรถเป็นเวลานาน ระบบสั่งงานด้วยเสียง และระบบรักษาสมดุลเมื่อรถต้องใช้ความเร็วหรือต้องเข้าโค้ง เป็นต้น


เพราะมนุษย์เป็นทั้งผู้สร้างและทำลาย จากนี้เรามาร่วมมือกันสร้างความเปลี่ยนแปลงให้โลกได้ ด้วยการเปลี่ยนทัศนคติ และเปิดใจยอมรับนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ยานยนต์แห่งอนาคตที่จะช่วยให้โลกอันสวยงามคงอยู่กับเราได้ยาวนานต่อไป 😍😍



#คนบันดาลไฟ#คนบันดาลไฟ2023#ใครไม่ChangeClimateChange

#เปลี่ยนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า#พลังงานสะอาด#กกพ#cleanenergyforlife

bottom of page